เทศน์บนศาลา

รู้ก่อนเกิด

๑๖ ส.ค. ๒๕๔๕

 

รู้ก่อนเกิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นั่งตามสบาย ตั้งใจ.. ตั้งใจฟังธรรม อาหารของใจนะ อาหารของใจ เราแสวงหากันมาทุกอย่าง แสวงหาเพื่อเรา เพื่อความสุขความสบายของเรา เราแสวงหา ความเข้าใจของเรา เราเข้าใจสิ่งใดเราก็แสวงหาสิ่งนั้น แต่ธรรมมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่จะเข้าหา หาได้ยาก ถ้าเข้าหาถึงธรรมแล้วมันจะเข้ามาถึงหัวใจของเรา ถ้าเข้าถึงใจของเรา ใจนี้จะมีรากฐานนะ เริ่มต้นจากมีรากฐาน พึ่งตัวเองได้ แล้วยังเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย แล้วจะมีความสุข ความเข้าใจของใจ

ใจดวงนี้ไม่เคยตายนะ เพราะว่ามันไม่รู้ตัวมันเอง มันถึงต้องเป็นไปตามยถากรรม นี่ “รู้ก่อนเกิด” รู้ก่อนเกิดคือสิ่งที่มันรู้อยู่แต่เราไม่รู้ทันมัน รู้ก่อนเกิดเห็นไหม เราเกิดมาเราก็ไม่รู้ แต่สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นอวิชชาปิดหัวใจไว้ หัวใจเราโดนอวิชชาปิดไว้ สิ่งนี้ถึงต้องเวียนตายเวียนเกิด แต่เกิดมาแล้วเราพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการดับทุกข์ สอนเรื่องการไม่ให้เกิดอีกเห็นไหม ถ้าเราจับต้องสิ่งนี้ได้ เราพยายามฝึกฝนสิ่งนี้ได้ เราจะเข้าใจสิ่งนี้

“รู้ก่อนเกิด” มันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่การคาดหมาย การคาดหมายไปแล้วไม่เป็นตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริง รู้แจ้งเห็นไหม ถ้ารู้แจ้ง รู้ตามความเป็นจริง มันจะเข้าใจแล้วมันจะปลดเปลื้องความผูกพัน ปลดเปลื้องภาระของใจได้

ใจเราปลดเปลื้องภาระของใจไม่ได้ เพราะว่าความรู้มันส่งไปในอดีต-อนาคต ส่งไปในอดีตเห็นไหม ในอดีตสิ่งต่างๆ ที่คิดแล้วมา พยายามคิดสิ่งนั้น เปรียบเทียบสิ่งนั้น นั้นเป็นอดีต นั่นน่ะรู้ก่อนเกิด แล้วรู้ไปในอนาคตเห็นไหม สิ่งที่รู้ไปในอนาคตนั้นก็คือการคาดหมายไป สิ่งที่ยังมาไม่ถึงนี่สมบัติบ้า สมบัติที่ยังเป็นไปไม่ได้ สมบัติในปัจจุบันนี้มันเป็นไปไม่ได้เพราะ! เพราะมันไม่รู้เป็นปัจจุบัน

ถ้ารู้เป็นปัจจุบันเห็นไหม รู้เป็นปัจจุบัน ความเข้าใจในปัจจุบัน เราทำความสงบของใจ ใจให้มีความสงบเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าเป็นปัจจุบันธรรมเราทำได้ไหม มันเป็นไม่ได้ มันถึงลงปัจจุบันไม่ได้ ถ้ามันลงปัจจุบันไม่ได้ ก็ทำความสงบของใจไม่ได้ ความสงบของใจไม่ได้แล้วสิ่งใดจะเป็นเครื่องมือในการประพฤติปฏิบัติธรรม เราเข้าใจว่าในการแสวงหาทางโลกเขา เขาต้องมีเครื่องมือเครื่องอาศัยของเขาเพื่อเป็นต้นทุนรอนของเขา เอาไปลงทุนลงรอนของเขา เขาต้องหาเห็นไหม ต้องหา..

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าใจว่าเราประพฤติปฏิบัติธรรม.. ประพฤติปฏิบัติธรรม...ถูกต้อง ในการประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมของเราไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ในครั้งพุทธกาลมีสัมมาสมาธิ มีความจงใจ มีความตั้งใจอยู่แล้ว เขาต้องพยายามแสวงหาเห็นไหม มีการแสวงหา แต่ในโลกเราปัจจุบันนี้ ความเป็นสมาธิเราก็มีอยู่ จะว่าไม่มีเลยนี่คนเรามันก็ต้องเสียสติไปหมด ทำไมเราเป็นมนุษย์ปุถุชนได้ เป็นมนุษย์ปุถุชน สติของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถึงทำให้ความสงบของใจไม่เท่ากัน

ความสงบของใจไม่เท่ากันเห็นไหม นั่นน่ะ ความคิดของเขา ความคิดของเรา คิดออกไปต่างๆ นานานี้ นั่นน่ะ รู้ก่อนเกิดทั้งนั้นเลย รู้ก่อนเกิดมันถึงไม่เป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติธรรม รู้ในปัจจุบันต่างหากถึงเป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติธรรม รู้แจ้งเห็นไหม ในการทำงานทางโลกเหมือนกัน เราคาดหมายก่อน เราคิดได้ก่อน เราพยายามทำไปก่อน แต่โลกยังไม่ยอมรับเห็นไหม ความพอดีไม่เป็นปัจจุบัน ความคิดของเรา เราคิดล้ำหน้าเขาไป เราจะโดนโลกเขาติเตียนด้วย เราคิดถูกต้อง แต่โลกเขาไม่รู้ทันเราเห็นไหม นั่นน่ะ รู้ก่อนเกิดมันไม่เป็นปัจจุบัน มันไม่สมดุลกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ความคิดของเราคาดหมายไป คาดหมายในความเห็นของเรา มันก็เป็นรู้ก่อนเกิด แต่ในกิเลสมันก็พยายามผลักไส มันพยายามดัดแปลงสิ่งนี้ให้มันเป็นไปเห็นไหม มันไม่เกิดตามความเป็นจริง เราถึงต้องทำให้มันเกิดตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงต้องปล่อยวางให้หมด สิ่งที่เป็นความอยาก ความตัณหาความทะยานอยาก ความต้องการมรรคผล ต้องวางไว้

เวลาเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เราอธิษฐานบารมี ทุกคนประพฤติปฏิบัติ การทำบุญทำทานก็ถึงอาสวักขัย สิ้นอาสวักขัย ถึงที่สุดของทุกข์ นั่นเป็นความปรารถนาของผู้ที่เป็นชาวพุทธเราปรารถนาทั้งหมด แต่ปรารถนาแล้วต้องวางไว้ เราคาดหมายในการประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ในการประพฤติปฏิบัตินี้เราต้องทำตามความเป็นจริง มันจะเป็นจริง มันจะเป็นสมคุณค่า ประโยชน์จะเกิดมาขนาดไหน นั้นแล้วแต่สิ่งที่มันจะเกิด

หน้าที่ของเราเห็นไหม ความเพียรของเรา เราพยายามทำความเพียรของเราพร้อมกับสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะนั้นเป็นความเพียร ขาดสติเห็นไหม ขาดสติก็เป็นการทำสักแต่ว่าทำ ทำอยู่ เราประพฤติปฏิบัติธรรม กลัวจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม เราตั้งใจทำแล้ว เป็นคนจริงคนจัง จะทำจริงทำจัง แต่ทำจริงทำจัง สติมันอยู่ในการประพฤติปฏิบัติไหม สติมันอยู่ในปัจจุบันในการกระทำนี้ไหม ถ้าสติมันอยู่ในการกระทำอันนั้น ความเพียรนั้นถูกต้อง

ถ้าสติมันไม่อยู่ในปัจจุบัน ความเพียรสักแต่ว่าเห็นไหม มันก็เหมือนกิเลสมันหลอกใช้เรา นั่นน่ะ เวลามันใช้เรามันใช้จริงๆ แต่เวลามันผ่านไปแล้วเห็นไหม มันหลบตัวไป มันสักแต่ว่ากิเลส กิเลสสักแต่ว่า กิเลสเป็นเรานี่ ใช้เราแล้วเราก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อเราไม่เข้าใจเรื่องของกิเลส เราก็หมุนเวียนไปตามมัน แล้วก็ไม่เห็นตัวมันเห็นไหม สักแต่ว่า แต่เวลามันหลอกใช้นี่เป็นความจริง แต่เวลาจะหาตัวมันนี่สักแต่ว่าหาตัวไม่เจอ ความเพียรก็เหมือนกัน เราทำสักแต่ว่าทำ ทำแล้วมันไม่มีสติสัมปชัญญะ

เราทำสติสัมปชัญญะตามเข้ามา แล้วให้เป็นปัจจุบันธรรม ตั้งใจให้สมาธิให้เป็นสมาธิ ถ้าสมาธิพอเห็นไหม นั่นน่ะ อินทรีย์แก่กล้า ในอินทรีย์ของเรา อินทรีย์ ๕ เห็นไหม จักขุอินทรีย์ ตาอินทรีย์ เป็นอินทรีย์ของเรา อินทรีย์ในอายตนะของเรา ให้มันแก่กล้าขึ้นมา บารมีธรรมเกิดขึ้นมาเห็นไหม เพราะในการประพฤติปฏิบัติอินทรีย์เราแก่กล้าขึ้นมา ธรรมมันจะเกิดขึ้นในการทรงตัวขึ้นมาได้ ถ้าทรงตัวขึ้นมาในหัวใจของเราเห็นไหม ธรรมนี้ทรงตัวขึ้นมา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันก็จะได้ผลตามความเป็นจริงนั้น มันก็เป็นปัจจุบันธรรม

แต่ถ้าความเพียรของเราทำสักแต่ว่า โดยให้กิเลสมันหลอกเห็นไหม เราตั้งสัจจะไว้ก็จริงอยู่ ดูอย่างอาจารย์มหาบัวท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านถือธุดงควัตร แต่การถือธุดงควัตรเป็นความดีไหม? เป็นความดี เป็นความขัดเกลากิเลส เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ยาก แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทาเห็นไหม ท่านเอาอาหารใส่บาตร “ศรัทธามาสาย ศรัทธามาสาย ศรัทธามาสายใส่บาตร” ใส่บาตรในนั้นมันก็ขาดธุดงค์เห็นไหม ถ้ามันขาดธุดงค์มันทำอะไรน่ะ

นั่นน่ะ เวลามันไปทางเดียว มันไปทางเดียว มันต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำให้เข้าทางไง ให้เข้าทางมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาจากในข้อวัตรปฏิบัติอย่างหนึ่ง มัชฌิมาปฏิปทาในหัวใจ ในความเพียรอย่างหนึ่ง มัชฌิมาปฏิปทาในความเห็นถูกต้องอย่างหนึ่งเห็นไหม ความเพียรของเราเราใส่เข้าไป ความเพียร ความเพียรพร้อมสติสัมปชัญญะนั้น มัชฌิมาปฏิปทาของเราอยู่แล้ว แล้วเราก็ตั้งสติของเราไว้เพื่อให้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา ให้มันเกิดขึ้นสมกับในการประพฤติปฏิบัติของเรา

เราประพฤติปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ เราประพฤติปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลส ชำระกิเลสต้องวางในสิ่งที่กิเลสหลอกลวงทั้งหมด เราต้องเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติเราว่า สิ่งที่ประพฤติปฏิบัตินี้กิเลสมันก็หลอกลวงเรา มันก็อยู่ในวังวนในการประพฤติปฏิบัตินี้ ในประพฤติปฏิบัตินี้กิเลสมันมีอยู่ด้วย เราต้องคอยใช้อุบายวิธีการหลบเลี่ยงสิ่งที่เป็นกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสนั้นมันจะเข้ามาในการประพฤติปฏิบัติเรา เข้ามาทำให้เสีย เข้ามาทำให้เรามัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้ เข้ามาให้เป็นปัจจุบันธรรมของเราไม่ได้

ถ้าไม่เป็นปัจจุบันธรรมของเราเห็นไหม มันก็เป็น “รู้ก่อนเกิด” ตามกิเลสมันคาดหมาย อันนี้มันทำให้เราทำได้ยาก ถ้าทำได้ยาก นี่กิเลสมันถึงว่า.. มันแก่นของกิเลส มันเป็นความลึกซึ้งมาก เอาชนะตนนี่สำคัญที่สุดเลย ชนะข้าศึกหมื่นแสน ชนะขนาดไหนนั้นเป็นการชนะคนอื่น การชนะคนอื่นในการสู้รบกัน มันเป็นการชนะแล้วมันก่อเวรก่อกรรม เพราะมีเขามีเราเห็นไหม แต่การชนะตนมันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเพราะเราชนะตน ชนะตนคือชนะกิเลสเห็นไหม

กิเลสมันขับไส กิเลสนี้มันอยู่ในหัวใจของเรา มันทรงตัวของมันขึ้นมา มันแก่กล้าขึ้นมา มันก็ทำให้เราทำในการประพฤติปฏิบัติธรรมผิดพลาดไป ธรรมกับกิเลสเป็นข้าศึกต่อกันมาตลอดไป เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กิเลสดับไปจากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมให้พวกเราก้าวเดินตาม ถ้าเราก้าวเดินตามทัน เราก็ชำระกิเลสของเราในหัวใจของเรา

กิเลสในหัวใจของเรานะ การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นการฟาดฟัน เป็นการงานที่หนักหักโหมมาก หักโหมทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะตน เอาชนะตนนะ ถ้าเราไม่หักโหมมัน กิเลสมันเสี้ยมไป มันแหย่ให้เราคิดคาดหมายไปตลอด มันเหมือนกับที่ว่า “รู้ก่อนเกิด” มันต้องรู้เป็นไปตามประสามัน คำพูดนี้มันเป็นคำพูดที่มันยอกใจนะ แล้วเราก็ไม่อยากให้มันเป็นไปกับเรา แต่กิเลสมันก็สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามประสาของมันได้ นั่นน่ะ มันไม่เป็นการรู้เป็นปัจจุบันธรรม

ถ้ารู้เป็นปัจจุบันธรรมมันต้องสงบตัวลงให้ได้ ใจของเราต้องสงบได้ ในเมื่อมันฟุ้งซ่านได้ มันต้องสงบได้โดยธรรมชาติของมัน “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” มันยังแปรสภาพไปทั้งหมด สิ่งนี้มันก็แปรสภาพไป แต่มันแปรสภาพไปโดยที่เราไม่ได้มีอำนาจเหนือมัน ไม่มีความจงใจบังคับบัญชามันได้ สัมมาสมาธิมันถึงเกิดไม่สืบต่อไง ถ้าสัมมาสมาธิเกิดสืบต่อไปเห็นไหม เป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา เกิดขึ้นมาในหัวใจของเรานี้มันก็เป็นการร่มเย็นในหัวใจของเรา มันเป็นการสัมผัสธรรมเริ่มต้น

สัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่ต้องการในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาก ถ้ามีสัมมาสมาธินี้ มันถึงจะค่อยๆ จะรู้เป็นปัจจุบันขึ้นมา เพราะสิ่งที่เป็นกิเลสมันสงบตัวลง สิ่งที่เป็นกิเลสมันขับไส มันมีอยู่ในหัวใจของเรา มันพยายามต้านทาน.. ต้านทานธรรมเห็นไหม ต้านทานธรรมที่เราพยายามสะสมขึ้นมานะ ธรรมฝ่ายปฏิบัติไง

“ใจ” ในการฝึกฝนตนทรมานใจให้ใจนี้สงบตัวลงได้ ถ้าใจสงบตัวลงได้เห็นไหม สิ่งที่ฟุ้งซ่าน สิ่งที่มันก่อกวนในใจมันคืออะไร มันคือกิเลส สิ่งที่กิเลสคือความไม่พอใจในศีลในธรรมเห็นไหม มันจะไม่พอใจในศีลในธรรม มันเป็นข้าศึกต่อกัน มันรู้ว่าสิ่งนี้จะเข้ามา ต้องเข้ามากดถ่วง.. กดถ่วงเห็นไหม ในการทำสัมมาสมาธิ ในการคำบริกรรมต่างๆ เพื่อกดให้กิเลสมันสงบตัวลงเท่านั้น อย่างนี้มันก็ต่อต้าน สิ่งที่ต่อต้านเราถึงทำความสงบของใจเราไม่ได้ ใจเรามันไม่สงบขึ้นมา มันเป็นความคิดของเขา

กิเลสอยู่ในหัวใจของเรา ตัวตนความยึดมั่นถือมั่นของใจ ความคิดต่างๆ นี้มันต้องเป็นการคาดหมาย มันเป็นการด้นเดาไปทั้งหมด มันไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่เป็นปัจจุบันธรรม ถึงต้องสร้างสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา สัมมาสมาธิเห็นไหม มิจฉาสมาธิ สมาธิที่เกิดขึ้นมาของเขา ในการที่เขาทำคุณไสยกัน เขาตั้งใจที่จะไปปล้นไปชิงวิ่งราวกัน เขาก็มีสมาธิเหมือนกัน เขาจงใจยิ่งกว่าเราเพราะเขาต้องทำสิ่งที่ปกปิดสิ่งที่ไม่ให้ใครรู้ได้ เขามีมิจฉาสมาธิเห็นไหม สิ่งนั้นเกิดขึ้น

เราถึงต้องการสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจิตสงบตัวลง สิ่งที่สงบตัวลงในหัวใจ หัวใจนี้มีสิ่งเป็นอันหนึ่งคือธาตุรู้ ธาตุรู้เห็นไหม ธาตุนี้ก่อตัวขึ้นมา ก่อตัวขึ้นมา จนเป็นสัมมาสมาธิ จนเป็นเอกัคคตารมณ์ สิ่งที่เป็นเอกัคคตารมณ์ในหัวใจ สิ่งที่เป็นธาตุรู้มันโดนกิเลสปกคลุมอยู่ สิ่งที่โดนกิเลสปกคลุมอยู่ เราพยายามจะปลดเปลื้องสิ่งนี้ สิ่งนี้คือความรู้สึกของเราทั้งหมด

ธาตุรู้ คือธาตุที่เรารู้สึกในหัวใจของเรานี่ ในหัวใจของเรา สิ่งที่เรารับรู้สิ่งต่างๆ นี้คือธาตุรู้ แต่เพราะมันโดนกิเลสปกคลุมอยู่มันถึงต้องเวียนตายเวียนเกิดเห็นไหม เวียนตายเวียนเกิดโดยอวิชชาปัจจยา สังขารา เวียนตายเวียนเกิดมาโดยไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วไม่มีการปลดเปลื้อง ไม่มีการแสวงหา ไม่มีการเข้าใจพยายามจงใจเข้ามาชำระปลดเปลื้องสิ่งนี้

แล้วปัจจุบันนี้เราเข้ามาศึกษาธรรม แล้วเราปฏิบัติธรรมเห็นไหม เราเพื่อจะเข้ามาปลดเปลื้องสิ่งนี้ มันเห็นแล้วมันก็ต้องสลดสังเวชใจ ทุกคนเห็นแล้ว ความเป็นไปเห็นไหม ดูสัตว์โลก ดูสิ่งต่างๆ ของโลกเขา โลกนี้มีการเจริญรุ่งเรื่องขึ้นมาแล้วมันก็มีการเสื่อมโทรมไป มีการทำร้ายกัน มีการสงครามเกิดขึ้นกัน มีแต่สิ่งที่เป็นอย่างนั้น มันน่าสลดสังเวชไหม สิ่งนั้นเอาเข้ามาเพื่อสอนใจตัวเองให้ใจตัวเองหาทางออกไง สิ่งนี้มนุษย์มันก็เป็นอย่างนั้นหมด ถ้าเราไปเกิดในสภาวะนั้น เราไปอยู่ในสิ่งนั้น เราก็ต้องรับทุกข์อันนั้นไปด้วย ไม่ใช่ว่าเกิดกับเขาแล้วจะไม่มาเกิดกับเรา

ปัจจุบันนี้ไม่เกิดกับเราเพราะเราสร้างคุณงามความดี สิ่งที่เป็นกรรมเท่านั้นถึงต้องสภาวะอย่างนั้น สิ่งที่ทำขึ้นมาเป็นสภาวะของกรรม กรรมมันให้ผลในตามสภาวะที่เขาทำของเขาขึ้นมา ผู้ที่ทำกรรมไว้แล้ว กรรมมันตามสนองให้เกิดเป็นสภาวะแบบนั้น เรามีคุณงามความดี กรรมดีของเราสร้างสมคุณงามความดีของเรา เราถึงไม่เป็นสภาวะแบบนั้น

แต่กรรมอันนี้มันก็มีหมุนเวียนไปเห็นไหม “สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง” ความเป็นอนิจจังในการเกิดและการตายนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วก็ไม่มีสิ่งที่แน่นอน สักวันหนึ่งเราจะตกไปในสถานะอย่างนั้นก็ได้ ความสลดสังเวชใจมันกลับย้อนเข้ามาเห็นไหม ย้อนกลับเข้ามาให้เรามีกำลังใจ กำลังใจของเราที่เราจะสะสม เราจะสร้างสมตัวเองขึ้นมา กำลังใจเกิดขึ้นมาเพราะเราให้กำลังใจตัวเอง นี้เพียงแต่เรามองโลกนะ เรามองโลกภายนอกแล้วย้อนกลับมาดูตัวเราเห็นไหม นี่โลกเป็นแบบนั้น แล้วการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร มันยิ่งน่าสลดสังเวชยิ่งกว่านั้น เพราะการเวียนเวียนตายเวียนเกิดของเรา เราเวียนตายเวียนเกิดขึ้นมา ภพชาติเราไม่รู้หรอก ปฏิบัติไปเถิดจะต้องรู้

ผู้ที่จะปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจจะรู้สิ่งนี้ เห็นสิ่งนี้ตลอดเพราะมันต้องผ่านสิ่งนี้ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสเห็นไหม เป็นการซับซ้อน-ซ้อนทับของใจจนตกผลึกในหัวใจ จนเป็นจริตนิสัยเป็นกรรม มันอยู่ที่หัวใจเห็นไหม แล้วก้นบึ้งของใจ ก้นบึ้งของธาตุรู้ เราจะไปค้นคว้า เราจะไปขุดคุ้ยสิ่งนี้ขึ้นมา ทำไมมันจะไม่รู้จักสิ่งนี้? มันต้องรู้จักสิ่งนี้ รู้จักในสถานะของเรา เราจะไม่รู้จักเรื่องของผู้อื่นสัตว์อื่นเลยก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องรู้จักของๆ เรา เราต้องปลดเปลื้องของๆ เราได้เห็นไหม ถ้ามันเป็นความรู้ขึ้นมา สิ่งที่เป็นความรู้ ธาตุรู้ที่เราปลดเปลื้องเข้าไป

แต่ปัจจุบันนี้เราไม่ได้ปลดเปลื้องตรงนั้น เราปลดเปลื้องตัวตนก่อน ปลดเปลื้องสิ่งที่หยาบๆ ที่มันปิดบังสิ่งนี้ไว้ มันปิดบังสิ่งนี้ไว้ด้วยความยึดมั่นถือมั่นเห็นไหม ความยึดมั่นถือมั่นของตัวตนเห็นไหม ความเป็นตัวตนของเราเป็นตัวตนของเราเราถึงยึดมั่นถือมั่น แล้วเราก็ไปตามความเห็นของเรา เพราะสิ่งนี้เป็นเรา สรรพสิ่งนี้เป็นเรา เรารับรู้สิ่งต่างๆ

โลกมีเพราะมีเรา มีเราแล้วเราก็รับรู้สิ่งต่างๆ แล้วเราก็ยึดตามสิ่งต่างๆ ไป สิ่งนี้สำคัญที่สุด ความยึดมั่นถือมั่นของใจ โลกเขาจะว่าเรา คำพูดติเตียนเห็นไหม เขาพูดมาแต่ไหนก็ไม่รู้ พอเราได้ยินขึ้นมา เราก็จะมีความรู้สึกในหัวใจของเราเกิดขึ้นมาในทันที เขาจะพูดมาก่อนหรือพูดมาหลังเห็นไหม หรือเขาจะพูดผิด เราฟังผิด มันเกิดอาการของใจ นี่มันเกิดขึ้นจากความกระทบของเรา

ใจนี่กระทบกับรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ แล้วเพราะมันยึดมั่นถือมั่นของมัน มันมีตัวตนของมัน มันถึงกระทบสิ่งต่างๆ ออกไป แล้วรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วยึดมั่นถือมั่น หมุนเวียนไปในการเผาลนตนขึ้นมาก่อน มันสร้างสมขึ้นมาแล้วมันเข้าใจผิดของมัน ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากกิเลสที่มันยึดมั่นถือมั่นของตัว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา มันเป็นสภาวะส่วนหนึ่ง โลกเป็นแบบนั้น สภาวะสิ่งที่เกิดขึ้นมา มันก็เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน

เรื่องของจริตนิสัยของสัตว์โลกเห็นไหม แต่ความรับรู้ของเรา ถ้าใจเราเย็น ใจเรามีสติสัมปชัญญะใคร่ครวญสิ่งนั้นก่อน เขาพูดจริงหรือไม่จริงนั้นอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าพูดจริงนั้นเราจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงหรือไม่จริงนั้นอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าเราเป็นจริงอย่างที่เขาว่านี้ เราจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขของเรานั้นเห็นไหม นั่นน่ะ มันเป็นแต่ละขั้นตอนที่ว่าถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราจะยับยั้งความคิดของเราเป็นประเด็น เป็นขั้นตอนๆ ออกไปเลย

แล้วถ้ายับยั้งใจได้เห็นไหม ใจอยู่กับเรา เรารักษาใจของเราได้ เราก็เริ่มจะตั้งมั่นของเราขึ้นมา จิตนี้สงบตัวเข้ามาๆ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ความคิดของเราใคร่ครวญทันกับความคิดของเรา แล้วมันจะต้อนความคิดของเราย้อนกลับเข้ามาให้ความคิดของเราสงบตัวลง สิ่งที่สงบตัวลงคือว่ามันไม่กระทบกัน มันไม่รับรู้สิ่งต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องไปกับขันธ์ ๕ เห็นไหม ไม่เกี่ยวข้องกับอายตนะเห็นไหม จิตมันก็สงบตัวเข้ามาได้ จิตสงบตัวเข้ามาเพราะเป็นการเราศึกษามา เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราสร้างสมขึ้นมาเห็นไหม นี้คือสภาวธรรม

สัมมาสมาธิเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ ใจรับรู้สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันก็ยืนตัวของมันขึ้นมาได้เห็นไหม นี่มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ใจของเราที่เราสะสมขึ้นมา แต่เดิมใจเราปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน เราปล่อยใจไปโดยที่ว่าอาลัยสิ่งที่รับรู้อารมณ์กระทบนั้นเป็นใจทั้งหมด รับรู้สิ่งต่างๆ ก็เป็นใจ รับรู้เห็นไหม ว่าใจคืออารมณ์รับรู้ นี่คือธรรมชาติของมัน ปล่อยวางไปตามความเห็นของเรา นั้นคือการปล่อยตามกิเลส เราไม่ยับยั้ง ไม่มีสติสัมปชัญญะ

ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราจะยับยั้งสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยับยั้งได้ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันแต่ธรรมชาติอันนี้มันมีกิเลสอยู่ ธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วเห็นไหม สิ่งนี้ก็มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้วเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังใช้ขันธ์ ๕ อยู่ ยังสื่อความหมายกับสัตว์โลกอยู่

สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่มันมีกิเลสมันถึงจะมีความทุกข์ ธรรมชาติที่ชำระกิเลสไปแล้วก็มีธรรมชาติอันนี้อยู่ มันถึงไม่ทุกข์ เราถึงจะบอกว่าเป็นธรรมชาติของเราไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติแต่มันมีขันธมาร มารมันบังคับอยู่ เราต้องชำระถึงมัน ให้มันปลดเปลื้องสิ่งที่ว่าเป็นตัวตนออกไปแล้ว ถึงจะเป็นธรรมชาติจริง ถ้าเป็นธรรมชาติจริง อันนั้นมันเป็นสภาวะที่ว่าสักแต่ว่ามันจะเป็นไป เราไม่รับรู้ไปกับมัน เรารู้สึกตัวเฉยๆ เราไม่มีอารมณ์ไปกับเขา รับรู้เฉยๆ รับรู้เฉยๆ แต่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาเพราะอะไร

เพราะรู้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เท่าทันตามความกระทบของว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นแบบนี้ สถานะเป็นแบบนี้ ไม่มีใครเลยที่ไม่โดนโลกธรรม ในโลกธรรมนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เห็นไหม “ไม่มีใครจะโดนหนักเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้านะ ยังโดนชาวบ้านติเตียน โดนชาวบ้านตามต่อว่าเห็นไหม พระอานนท์บอกให้หนี พระพุทธเจ้าไม่ยอมหนีเห็นไหม หนีไปที่อื่นโลกก็เป็นแบบนี้

สิ่งที่กระทบกระเทือนมันกระทบกระเทือนมาโดยธรรมชาติของมัน โลกธรรม ๘ เป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ แต่ในหัวใจของเรามันมีสิ่งที่เราปลดเปลื้องได้ เรื่องของโลกธรรมเราจะไปปลดเปลื้อง เราจะไปแก้ไขเรื่องโลกธรรมไม่ได้ โลกธรรมต้องเป็นอยู่สภาวะแบบนั้น จะแก้ไขได้คือแก้ไขใจของเรา ถ้าปลดเปลื้องใจของเราเห็นไหม สภาวธรรมเกิดขึ้นอย่างนั้น จริงเท็จของเขาเป็นหน้าที่ของเขา

สิ่งที่ว่าเป็นความจริงที่เขาว่าแล้วมันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงในจากการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องแก้ไขของเราเห็นไหม ถ้าเราแก้ไขในหัวใจของเรา ปลดเปลื้องในใจของเรา สิ่งที่เป็นโลกธรรมมันก็เก้อๆ เขินๆ มันไม่สามารถกระทบใจเราได้ เพราะเราปลดเปลื้องตัวตนสิ่งที่กระทบออกหมดแล้ว สิ่งนี้ไม่มีในหัวใจของเรา มันก็มีความสุขของใจขึ้นมา ใจมีความสุข มีความเข้าใจตามสภาวะตามความเป็นจริงก็ควบคุมตัวเองได้ สิ่งที่ควบคุมตัวเองได้ นี่เห็นไหม “สัมมาสมาธิ”

ความเข้าใจในสรรพสิ่งต่างๆ ของโลกเขา กระแสของโลกเป็นไปอย่างนั้นโดยธรรมชาติของโลก โลกต้องเป็นแบบนั้น โลกนี้เป็นของเก่าแก่ แต่เราเกิดมาในสถานะที่เกิดมาสภาวะหนึ่งเห็นไหม ในสถานะที่ว่าเราเกิดมาในยุคสมัยใด ถ้าเกิดมาในยุคสมัยพระพุทธเจ้า เราเกิดมาด้วยมีอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นสหชาติ สร้างบุญกุศลขึ้นมา พระพุทธเจ้าอยู่นี่ผู้ชี้นำ ผู้ชี้นำที่จะชี้นำให้เราก้าวเดินตามจริตนิสัยของเรา

แต่ในเมื่อเราเกิดกึ่งพุทธกาล ปัจจุบันนี้ ๒๕๔๕ ปี กึ่งพุทธกาลเห็นไหม ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตลอด เจริญรุ่งเรืองมาถึงมือของเรา เราได้รับผลพวงจากความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา แล้วเราดัดแปลงตนได้เป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเราดัดแปลงตนของเราได้ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ศาสนาเจริญในหัวใจของเราเห็นไหม ถ้าศาสนาเจริญในหัวใจของเรา เราจะมีความสุข ความสุขเกิดขึ้นจากการดัดแปลงตน ความสุขเกิดขึ้นจากสิ่งที่ว่าเป็นอำนาจวาสนาบารมี อันนั้นมันเป็นผลพวงอยู่ข้างนอก แล้วมันเป็นสิ่งที่ว่าควบคุมไม่ได้

สิ่งที่เราดัดแปลงตนนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ มันเป็นอกุปปธรรม สิ่งนี้ทำเสร็จแล้วจะไม่ต้องทำอีก

งานของโลกเขาที่มันน่าเบื่อหน่ายเพราะมันเป็นงานทำซ้ำๆ ซากๆ ผู้ใดทำเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งนั้นมันเสื่อมสภาพไปก็ต้องมีการซ่อมแซมแก้ไขกันตลอดไป เรื่องของโลกเขาจะต้องมีการแก้ไข ต้องมีการรับช่วงต่อไป คนจะต้องบำรุงรักษาตลอดไป เรื่องของโลกเป็นแบบนั้น แล้วก็คนก็ต้องมาตายคากับงานนั้นเห็นไหม สิ่งนั้นคนตายคากับงานนั้น งานนั้นก็ต้องอยู่ประจำโลกไป สิ่งที่ว่ามันเป็นกุปปะ สิ่งที่แปรสภาพ สิ่งที่เป็นอนิจจัง งานของโลกเขาเป็นแบบนั้น

แต่งานของธรรมสิ งานของธรรมเสร็จสิ้นแล้ว มันเป็นเสร็จสิ้นขบวนการ มันถึงมีแก่ใจกระทำไง สิ่งที่มีแกใจกระทำ ทำในตามความถูกต้องของเรา ความถูกต้องของเรานี้เป็นรู้ก่อนเกิด ความถูกต้องของธรรมมันจะเป็นธรรมสภาวะตามความเป็นจริง นี่ความถูกต้องของเราถึงเชื่อเราไม่ได้ไง เราว่าเราความถูกต้องของเราเห็นไหม ความถูกต้องของเรารู้ก่อนเกิด เพราะว่ามันมีส่วนที่ว่าเราคาดเราหมาย มีคาดหมายไปถึงต้องอาศัยสัมมาสมาธิไง ถึงต้องทำความสงบของใจไง

ใจสงบเข้ามาแล้ว แล้วค่อยยกขึ้นวิปัสสนาให้ได้ ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม ในกายหรือในจิตก็ได้ ในกายกับในจิตนี่ สรรพสิ่งต่างๆ แล้วมันลงแล้วอยู่หลักที่ว่าใจนี้ยึดมั่นถือมั่น ใจนี้เป็นทุกข์ ร่างกายของเรามันก็เป็นที่อยู่ของรวงรังของใจ ใจนี้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ มันติดตรงนี้ก่อน หน้าที่ของเราคือต้องปลดเปลื้องตัวของเรา หน้าที่ของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่นเขา ถึงเวลาเราจะสั่งสอนกัน ถ้าเราพึ่งตนเองได้ เราจะแก้ไขคนอื่น นั้นถึงเวลาเราจะแก้ไขเขา

แต่ปัจจุบันนี้เราต้องปลดเปลื้องเราเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องไปแก้ไข ยกเว้นสำคัญที่สุดเท่ากับตัวเรา ไฟมันเกิดขึ้นในหัวใจของเรา เราต้องดับที่นี่ ถ้าดับไฟในหัวใจของเราได้ เราจะพ้นจากความทุกข์ไปได้ส่วนหนึ่ง จนแก้ไขได้พ้นเป็นเปลาะเป็นชั้นเข้าไปเห็นไหม ถึงย้อนกลับเข้ามาสติปัฏฐาน ๔ ให้ได้ กาย เวทนา จิต ธรรม.. เวทนาเกิดขึ้นเวลานั่งนานๆ มันจะปวด นั่นน่ะ มันไม่มีหรือ? สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เราไม่เข้าใจว่าสิ่งใดมันจะเป็นการเป็นงานของเรา

งานของเราเห็นไหม ความเจ็บความปวดนั้นมันเป็นอาการเฉยๆ ซากศพเขานอนอยู่ตลอดทั้งชาติของเขาถ้าเขาตายไปแล้วนะ ตลอดกี่วันก็แล้วแต่ เขาไม่มีความรู้สึก ซากศพเพราะว่ามันไม่มีจิตไปรับรู้ เวทนาก็เหมือนกัน เกิดขึ้นเพราะใจไปรับรู้ เกิดขึ้นเพราะใจเราจับยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น ยึดมั่นถือมั่นนั้นมันก็เกิดเป็นเวทนาขึ้นมา เกิดความรู้สึกไง ถ้าเราเห็นไหม คนที่เขาเล่นการพนันกัน เขานั่งเพลินในการดูมหรสพ เขาจะนั่งเพลินของเขา เขาจะไม่มีการเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะว่าใจของเขาไม่สนใจกับกิริยาในการนั่ง ใจของเขาส่งออกไปรับรู้สิ่งที่ว่าเขามีความสุขอยู่กับสิ่งนั้น นั่นน่ะ ใจเขาส่งออก เขาถึงไม่รับรู้

สิ่งนี้เป็นโมฆะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม แต่หลักความเป็นจริงของใจ ในเมื่อใจไม่ยึด แต่ใจไม่ยึดด้วยหลงไปในอารมณ์ในความเป็นสิ่งที่ว่าเป็นอกุศล มันไม่เป็นประโยชน์กับใจ แต่ของเรา เราเป็นสัมมาเห็นไหม สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ พอมันเจ็บมันปวดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะใจมันตื่น เรานั่งอยู่ หลับตาอยู่ แต่หัวใจมันตื่น พอหัวใจมันตื่นมันก็รับรู้สิ่งต่างๆ หมด รับรู้ความเจ็บปวด รับรู้สิ่งต่างๆ แล้วมันกลัวความเจ็บปวดด้วย นั้นน่ะ กลัวความเจ็บปวด ตัณหาซ้อนตัณหาเพิ่มไปอีกชั้นหนึ่ง อีกชั้นหนึ่งทำให้ความเจ็บปวดนั้นขยายมากขึ้นเห็นไหม

สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากอะไร คนที่ว่าเวลาเขาเจ็บปวด สิ่งที่เจ็บปวดกับเรา เราลุกขึ้น เราก้าวเดินออกไป เราเปลี่ยนอิริยาบถ ความเจ็บปวดนั้นมันต้องอยู่กับเราตลอดไป เราเพียงแต่เราขยับร่างกายหน่อยเดียวเท่านั้นแหละ ความเจ็บปวดนี้ก็หายไปเห็นไหม นี่มันยึดอยู่ที่ใจ ใจยึดอยู่สิ่งนั้นอยู่ ต้องย้อนกลับมาดูความเจ็บปวด อะไรเป็นความเจ็บปวด?

ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดเลย สิ่งนั้นมันสักแต่ว่าอาการที่มันทรงตัวอยู่อย่างนั้น แต่เพราะหัวใจไปรับรู้ต่างๆ พอมันปล่อยที่ใจเห็นไหม ผู้ที่พิจารณาเวทนา พอเวทนามันหลุดไป เวทนามันดับไปเห็นไหม มันจะเวิ้งว้าง มันจะว่างหมดเลย ใจนี้มันจะว่างออกไป นี่เวทนาไม่มี เวทนาสักแต่ว่าเวทนา ถ้าพิจารณาเวทนาเห็นไหม พิจารณาเวทนานี้ต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็ง เพราะการต่อสู้กับเวทนานี้เป็นการต่อสู้ซึ่งๆ หน้า เล่นกับไฟ มันเป็นไฟเผารนใจนะ เจ็บปวดมาก ความเจ็บปวด ๒ ชั้น ๓ ชั้น ใส่ ๒ ชั้น ๓ ชั้นทับถมเข้าไปที่ใจ

แล้วใจมันไม่มีกำลังเห็นไหม มันถึงต้องหลบ.. ในการถ้าเราต่อสู้ไม่ไหว หลบกำหนดคำบริกรรมขึ้นมา พุทโธๆๆๆ ให้ใจปลดชักใจกลับมา ดึงใจกลับมาอยู่กับสติสัมปชัญญะ ให้มันอยู่กับตัวมันเองซะ ไม่ให้ออกมารับรู้อาการของเวทนา อาการเวทนาเกิดจากการแข้ง จากขา จากการร่างกายของเรา เกิดขึ้นจากอวัยวะส่วนใด เพราะใจไปรับรู้สิ่งนั้น

กำหนดพุทโธ กำหนดคำบริกรรม จะย้อนกลับเข้ามา.. ย้อมจิตย้อมใจเข้ามาให้อยู่ทรงในตัวมันเอง ไม่ไปรับรู้สิ่งนั้น นี้เป็นนักหลบ แต่มันก็เป็นวิธีการต่อสู้ส่วนหนึ่ง ต่อสู้กับว่า ในเมื่อกำลังยังไม่พอ ในผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่หรือในเมื่อเราที่เราจะพักใจเห็นไหม ก็ต้องใช้อย่างนี้ นี้เป็นในวงของสมถะ แต่ในวงของการวิปัสสนาต้องต่อสู้กับเวทนาตลอด ต่อสู้แล้วแยกแยะ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เป็นอาการใจยึดแล้วใจปล่อยเท่านั้น อาการที่ใจยึดและใจปล่อย ถ้าใจมันยึดมันก็เกิดเวทนา ถ้าใจมันปล่อยมันก็จะหายไป

สิ่งนี้หายไปแล้วเราต่อสู้วิปัสสนาจนเราเข้าใจเห็นไหม เราฝึกใจ เราสอนใจ ใจมันต่อสู้กับสิ่งนั้น แล้วมันดับต่อหน้า สิ่งที่เกิดเป็นไฟต่อหน้า แล้วดับต่อหน้า แล้วใจมันรู้อะไร ใจก็เกิดปัญญา เกิดความรู้เท่าสิ่งต่างๆ นี่ สิ่งนี้เราสามารถแก้ไขได้ สิ่งนี้เราสามารถแยกแยะได้ ถ้าเราแยกแยะสิ่งนี้ นั่นน่ะ ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่การรู้ก่อนเกิด การคาด การหมาย การรู้ก่อนเกิด รู้ว่าเวทนาดับเห็นไหม ตามตำราบอกเวทนาสักแต่ว่าเวทนา ในครูบาอาจารย์สอน นั่นน่ะ เป็นการคาด การหมาย มันเป็นการรู้ก่อนเกิด

แต่ถ้าในการไปรู้ปัจจุบันเห็นไหม เวทนาดับ ความเจ็บความปวดไม่มี ใจนี้มันจะมีความสุข มีแต่ความปล่อยเวิ้งว้างมาก แต่เดี๋ยวเวทนาก็เกิดอีก มันก็ต้องวิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเห็นไหม เวทนาเกิดดับ เกิดดับ เพราะสิ่งที่ดับไปนี้ ดับไปด้วยปัญญาใคร่ครวญ ดับไปด้วยปัญญา แต่มันดับเฉยๆ มันไม่มีสิ่งที่ว่าเข้าไปต่อสู้จนเห็นตามความเป็นจริง รู้แจ้ง รู้แจ้งซ้ำๆ ซากๆ เข้าไปเห็นไหม จนกิเลสมันเริ่มเปราะบางลง เปราะบางลง

แก่นของกิเลสมันยึดมั่นถือมั่นสิ่งนี้มาก ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ยึดมั่นถือมั่นเห็นไหม เวทนาก็เป็นเรา เพราะใจไปรู้ เวทนาก็เป็นเรา สิ่งต่างๆ นี้เป็นเรา เพราะเรารับรู้ สิ่งที่รับรู้ก็ยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น แล้วใจเข้าไปแยกไปแยะ สักแต่ว่าเวทนา เวทนาต่อสู้กับเวทนาอย่างเดียว ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม แต่ในเมื่อเราพิจารณาเวทนา เป็นพิจารณาเวทนาเพราะ! เพราะเราเวลาเรายกขึ้นพิจารณากายหรือพิจารณาจิต เราเห็นสิ่งนั้นไม่ได้ ในเมื่อเห็นสิ่งนั้นไม่ได้ เวทนามันเป็นสิ่งที่เกิดแน่นอนอยู่กับร่างกายอยู่แล้ว เราถึงพิจารณาสิ่งที่ต่อหน้าเลย

แต่ถ้าไม่พิจารณาสิ่งที่ต้อหน้าเห็นไหม พิจารณากายก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาธรรมก็ได้ พิจารณาธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจนี่ธรรมารมณ์ อารมณ์เกิดขึ้นเห็นไหมสภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น นี้คือธรรม วิปัสสนาซ้ำๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง จับต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามันเบื่อ เป็นอุบายวิธีการ เราจะพลิกแพลงเข้ามาก็ได้ พิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งพิจารณาอยู่อย่างนั้น แล้วให้มันแยกออกไป

สิ่งที่แยกออกไป จิตจะเป็นอิสระเข้ามาได้ ในการสติสัมปชัญญะ ในการทำความสงบของใจนั้นเป็นการกดไว้ กดไว้ เราเคยกดไว้จนจิตสงบเข้ามาเห็นไหม จิตสงบเข้ามาจนเป็นเอกัคคตารมณ์ จนเป็นสัมมาสมาธินั้นเป็นธรรมส่วนหนึ่งในหัวใจของเรา แล้วเราแยกแยะเห็นไหม ด้วยปัญญา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในเวทนาในสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งๆ หน้านั่นน่ะ วิปัสสนาแยกเข้าไป แยกเข้าไป จนถึงดับเห็นไหม พอดับขึ้นมาแล้วเดี๋ยวเวทนาก็เกิดอีก ก็แยกซ้ำแยกซากเข้าไป

ความแยกซ้ำแยกซาก ปัญญามันจะแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ เราอย่าพลาดอย่าปล่อยวาง พิจารณาครั้งหนึ่งแล้วเข้าใจว่าเราปล่อยวางแล้ว พ้นจากสิ่งนี้แล้ว แล้วจะวิปัสสนาสิ่งอื่นอีก หรือไม่ก็ปล่อยใจตั้งสติไว้เฉยๆ เดี๋ยวเวทนาก็กลับมาอีก สิ่งที่เวทนากลับมาเพราะจิตกระทบมันยังมีความกระทบกันอยู่ สิ่งที่กระทบในหัวใจยังมีกับเราตลอดไป สิ่งที่กระทบกับในหัวใจกับอายตนะในขันธ์ต่างๆ กิเลสมันยังไม่ได้ปลดเปลื้องสิ่งต่างๆ ไป มันจะต้องเกิดอารมณ์อย่างนั้นแน่นอน ต้องเกิดอีกโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันยังมีอยู่เห็นไหม

สิ่งที่เป็นกิเลส สิ่งเป็นตัวตนยังฝังอยู่ในใจ สิ่งที่จะกระทบกระเทือนกับเขายังมีอยู่แล้ว มันจะหมดปลดเปลื้องไปได้อย่างไร เพียงแต่ว่าปัญญานี่แยกแยะแล้วมันปล่อยวางเป็นการชั่วคราว ของยืม ยืมมาไง ปัญญายังไม่สมุจเฉทปหานไง ถ้าปัญญาสมุจเฉทปหาน ของนั้นจะไม่เป็นของยืม ของนั้นจะเป็นของตัวเองเห็นไหม เป็นปัจจัตตังรู้จากใจเห็นไหม ปัญญารู้แจ้งออกมาจากใจ ถ้าปัญญารู้แจ้งออกมาจากใจละกิเลสออกไปจากใจ ตัดสมุจเฉทปหานขาดออกไป กาย เวทนา จิต ธรรม.. ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน นั้นเป็นปัจจุบันธรรม

ความรู้แจ้งของใจ สิ่งนี้เป็นความรู้โดยเป็นปัจจัตตัง รู้จากใจดวงนั้น มันจะเป็นการรู้ว่า รู้ก่อนเกิดไปไหนเห็นไหม สิ่งนี้เป็นการรู้ตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริงมันต้องรู้จากการประพฤติปฏิบัติ รู้ตามความเป็นจริง รู้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของตัว จากประสบการณ์ของจิต จิตจะรู้จากประสบการณ์

สิ่งที่แยกออกไป เวลากาย หรือเวทนา จิต ธรรม แยกออกไป สิ่งที่เหลือๆ อะไร? เหลือจิตเห็นไหม จิตล้วนๆ จิตจะมีความสุขมาก จิตล้วนๆ จิตเป็นผู้รู้เห็นไหม ธาตุรู้โดนปลดเปลื้องออกไปส่วนหนึ่ง ธาตุรู้นั้นก็ยังสะสมเห็นไหม สิ่งที่เป็นกิเลสที่ยังละเอียดกว่า ยังปกปิดธาตุรู้นั้นอยู่ สิ่งที่มีธาตุรู้นั้นอยู่ มันจับต้องได้ง่ายๆ เพราะความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราเสวยความสุข สุขจากการประพฤติปฏิบัติ

ฟากตายเห็นไหม ฟากตายจากการต่อสู้กับกิเลสเห็นไหม

วิปัสสนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ มาจนชนะมาส่วนหนึ่ง ชนะกิเลส กิเลสต้องตายไปส่วนหนึ่ง ลูกหลานของกิเลสตายต่อหน้าของเรา สังโยชน์นี้ต้องหลุดออกไปเห็นต่อหน้าของเรา พอเห็นต่อหน้าของเรา จิตจะโดดเด่นขึ้นมามาก มันจะมีความสุขจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก้าวเดินมาถูกทางเห็นไหม มันเป็นความรู้จากใจว่าเราก้าวเดินมาถูกทาง แล้วเราจะก้าวเดินต่อไป เอาสมบัติสิ่งที่ว่าเป็นความสุขมากขึ้นกว่านั้นเห็นไหม มากขึ้นกว่านั้นจนกว่าจิตนี้จะพ้นออกไป พ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด พ้นออกไปจากความยึดมั่นถือมั่นจากภายใน

ความยึดมั่นถือมั่นของกาย ความยึดมั่นถือมั่นของจิต ความยึดมั่นตัวตนอันเป็นอวิชชา ปัจจยา สังขารา มันเป็นตัวธาตุรู้เลยนี่ แล้วสิ่งนี้เป็นความรู้ก่อนเกิดทั้งหมดเลย เพราะความคาดการหมายไป มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม เพราะมันไม่อยู่ในวงปฏิบัติ สิ่งที่เป็นวงปฏิบัติเห็นไหม มันจะเกิดปฏิเวธ ปฏิเวธคือความรู้แจ้งสิ่งต่างๆ แล้วปล่อยสิ่งต่างๆ ไว้ตามความเป็นจริง ปล่อยไปด้วยอำนาจของภาวนามยปัญญา

สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดขึ้นจากการก้าวเดินออกไปจากใจ เกิดขึ้นจากพยายามฝึกฝนของเรา ใจเราพยายามฝึกฝนขึ้นมา สร้างสมขึ้นมา ในเมื่อผลประโยชน์เกิดขึ้นมาจากใจ นี่งานเราเคยทำ มันจะทำได้สะดวกขึ้น เราก็ต้องก้าวเดินต่อไป ทำความสงบของใจที่สูงขึ้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้เกิดขึ้นมาจากความสงบของใจแล้วเข้าไปจับต้องในการวิปัสสนาได้ ใจจะจับต้องวิปัสสนาต่อไป ต้องมีความสงบของใจสูงขึ้นไป ถ้าสูงขึ้นไปก็จับสิ่งที่เป็นละเอียดได้ขึ้นมาเห็นไหม

สิ่งที่เป็นละเอียดมันละเอียดอ่อนขึ้นมาจากเดิม สิ่งที่เป็นของเก่านี้เราวิปัสสนาเข้าไป มันเป็นการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าเห็นไหม นี้ก็เหมือนกันถ้าเรายกขึ้นข้างบน เราจับต้องไม่ได้ เวทนาของจิตมันก็มี เวทนาใน.. เวทนา.. เวทนานอก เวลามันเวทนาขาด ขาดเพราะความผูกพัน ความยึดมั่นถือมั่นของใจ กับสิ่งที่ว่าเป็นขันธ์ มันแยกออกจากกัน สิ่งที่ยึดมันถือมัน มันยึดมั่นถือมั่นให้เกิดความทุกข์ ความเจ็บ ความปวด มันปล่อยวางไปชั้นหนึ่ง แต่ความยึดมั่นถือมั่นจากภายใน ในการกระทบกับอายตนะมันก็มีอยู่ เวทนามันถึงเกิดเป็นเวทนาใน

เวทนานอกมันขาด ขาดเพราะกิเลสหลุดออกไปจากใจ สิ่งที่ขาดคือกิเลสขาดออกไป แต่เวทนาอายตนะยังคงอยู่โดยสภาวะเดิม สภาวะเดิมแต่มันเพียงแต่ว่าละเอียดอ่อนเข้าไปอีกชั้นใน สิ่งที่เป็นชั้นในเห็นไหม ชั้นใน เวทนาใน จากเวทนานอกเป็นเวทนาใน เราก็ต้องยกจิตให้สูงขึ้นเพื่อความสงบของใจ แล้วต่อสู้กับเวทนาเห็นไหม เวทนาข้างนอกมันเกิดขึ้นแล้วมันดับไป เวลาต่อสู้ขึ้นมา ถึงที่สุด ฟากตายขนาดไหน มันก็ต่อสู้ได้ แล้วมันปล่อยวางไว้หมด แล้วเวทนาจะไม่เกิดขึ้นอีกหรือ มันก็เกิด!

เว้นไว้แต่ จิตมันพิจารณาแล้วมันจะเกิดเป็นว่ารู้ก่อนเกิด คือการคาดการหมาย เราพิจารณาไปแล้ว มันจะไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราพลิกไง เว้นแต่เราจะไม่พิจารณาเวทนา เราจะพิจารณาจิตก็ได้ พิจารณากายก็ได้ แต่ถ้าพิจารณาเวทนาก็ต้องสู้กับเวทนาอีก เพียงแต่มันมีความสงสัยว่าเวทนามันขาดออกไปจากใจเราแล้ว แล้วมันจะมีอีกได้อย่างไร? มี! ความคาดความหมาย ความรู้ก่อนเกิดมันเป็นการคาดการหมาย แต่เวทนา.. ก็ความรู้ วิญญาณรับรู้ มันเกิดความพอใจ-ไม่พอใจ นั้นก็คือเวทนาแล้ว

เวทนามันอยู่สิ่งที่ละเอียดเข้าไป นี่มันจับต้องสิ่งนั้นได้ มันก็พิจารณาได้ ถ้ามันจับต้องได้ ถ้ามันจับต้องไม่ได้ มันก็ไม่เป็นงาน ไม่เป็นงานมันก็วนเวียนไป สิ่งที่วนเวียนไปเห็นไหม ปัญญามันจะเกิดดับ เกิดดับในหัวใจของเรา สิ่งนี้เป็นความรู้ก่อนเกิดทั้งหมดเลย เพราะมันเป็นเรื่องอวิชชาหลอกใช้ เป็นเรื่องกิเลสมันพาใช้ กิเลสมันพาใช้เพื่อให้เราวนอยู่ในงานของมันไง ในการย่ำซอยเท้าอยู่กับที่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วซอยเท้าอยู่กับที่ เราจะก้าวเดินไม่ไปไหน มันก็อยู่ในอำนาจของกิเลส กิเลสพอใจสิ่งนี้ กิเลสพอใจให้เราไม่ก้าวเดินไป กิเลสมันต้องการให้เราอยู่ในอำนาจ ให้เราอยู่เป็นขี้ข้าของมัน เป็นบ้านเรือนของที่อยู่ของเขาตลอดไป กิเลสมันจะหลอกให้อยู่อย่างนั้น นั่นน่ะ มันถึงต้องพยายามพลิกแพลง อุบายวิธีการเราจะพลิกแพลงออกมาเพื่อจะจับต้องสิ่งนี้ให้ได้

ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ เราพิจารณากายก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาเวทนาก็ได้ สติปัฏฐาน ๔ นี้มีความหยาบ ความกลาง ความละเอียดตลอดไป เพียงแต่ว่าจริตนิสัยพลิกแพลงมาเพื่อเป็นอุบายวิธีการของใจ

ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนแปลงแบบนี้ แต่สิ่งนี้มีอยู่ เพียงแต่ว่า มันเป็นความรู้ก่อนเกิดความคาดความหมายของใจ ไม่เข้าใจสิ่งนี้ จะไม่เข้าใจ เพราะ! เพราะอวิชชาปิดบังใจไว้ ปิดบังความเข้าใจของใจเพื่อจะให้รู้ตามความเป็นจริง ตามความจริงของธรรมะ ตามความเป็นจริงของอริยสัจ

ธรรมนี้มันเป็นธรรมอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ก็เข้าใจในดวงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมมามันก็มีความลังเลสงสัยตลอด แล้วมีความคาดความหมายไปเห็นไหม ความรู้ของเรามันเป็นความรู้ยืม ความรู้ยืมมันไม่เป็นความรู้แจ้ง แล้วความรู้ของเรากับกิเลสของเรา มันก็เป็นอันเดียวกัน มันปิดบังมันซ่อนเร้นกันอยู่ในใจนั้นน่ะ ในหัวใจของเรา มันจะเริ่มงงเห็นไหม งงในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันถึงต้องทำบ่อยๆ ครั้ง แยกแยะออกไป แยกแยะออกไป จับต้องได้แล้วพยายามแยกแยะสิ่งนี้ มันเป็นอะไรในความรู้สึกของเรานั้น

ในอาการของใจ ความเศร้าหมอง ความผ่องใสของใจ มันก็มีตลอดไปเห็นไหม มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันเป็นชั้นนะ เป็นชั้นหมายถึงว่ามันจะละเอียด มันจะลึกซึ้งเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จะลึกซึ้งเข้าไป แล้วสติมันก็จะละเอียดตามเข้าไป ถ้าเราสะสมของเราขึ้นมา เราพยายามทำความเพียรของเราขึ้นมา เราไม่ละทิ้งความเพียรของเรา เราจะต้องก้าวเดินตามกิเลสทัน

กิเลสมันเหมือนกับปลาในข้อง มันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วทำไมเราจับสิ่งที่ว่าอยู่ในใจของเราไม่ได้ นี่มันน่าคิดนะ ถ้ามันคิดขึ้นมาอย่างนี้เห็นไหม มันก็จะย้อนกลับเข้ามา มันอยู่ในความรู้สึกของเรา มันเกิดดับในความรู้สึกของเรา แล้วเราทำไมต้องเป็นขี้ข้าของมัน ทำไมเราต้องหลงมันให้มันผลักไสให้เราหมุนเวียนออกไปข้างนอก ให้เราไปยึดมั่นถือมั่น แล้วให้เราดำรงชีวิตไปประสาที่ว่ามีแต่ความทุกข์ไป

ดำรงชีวิตเห็นไหม การดำรงชีวิตนี้มันเป็นหน้าที่การงาน เราหน้าที่การงานขนาดไหน ดูอย่างสมณะชีพราหมณ์เห็นไหม นี่สัมมาอาชีวะ ถ้าพระก็ยังต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง จะต้องดำรงชีวิตไป ความดำรงชีวิตนี้ดำรงชีวิตเพื่อความประพฤติปฏิบัติ กับดำรงชีวิตเพื่อโลกเขาเห็นไหม ถ้าโลกเขาเขาดำรงชีวิตของเขา เขาต้องมีเกียรติ เขาต้องมีสิ่งประกอบของเขาอีกมากมายที่จะทำให้เป็นเครื่องพะรุงพะรังไป มันเป็นการที่ว่าจะต้องหมุนออกไปทางโลก

แต่ถ้าในการดำรงชีวิตในการประพฤติปฏิบัติ มันประพฤติปฏิบัติเพื่อการชำระกิเลส มันพออาศัยเท่านั้น สิ่งใดเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย แม้แต่การดำรงชีวิต การฉันการอาหาร อาหารนี้ทำให้เราง่วงเหงาหาวนอนก็ได้ ทำให้เราภาวนาไม่สะดวกก็ได้ ถ้ามีคนที่ฉลาดเห็นไหม ต้องพยายามเข้าใจสิ่งนี้ สิ่งใดเป็นโทษกับการประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่เอาสิ่งนั้นเข้าไปให้เป็นโทษกับเราเลย เราแสวงหาเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อคุณประโยชน์ของเรา เพื่อความดีของเรา แล้วทำไมเราไม่เริ่มต้นตั้งแต่ปากทาง

วันหนึ่งในเวลา ๒๔ ชั่วโมงเห็นไหม ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ตั้งแต่เช้าบิณฑบาต ฉันอาหาร สิ่งที่ฉันเข้าไปในนี้ มันให้ความหนักหน่วงกับธาตุขันธ์ขนาดไหน สิ่งนี้จะย้อนกลับเข้ามา เวลาเราไปนั่งภาวนาไง การนั่งภาวนาเพื่อความสงบของใจ เพื่อตั้งใจขึ้นมา เพื่อจะต่อสู้กับกิเลส มันทุกข์ยากแสนเข็ญขนาดไหนกับที่ว่าเวลาเราฉัน เราเผลอไปขนาดนั้นน่ะ มันคุ้มกันไหม ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราพิจารณาของเราอย่างนี้ มันจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ให้มีสติสัมปชัญญะทั้งวัน

หลวงปู่มั่นสอนไว้ในมุตโตทัย “ในการก้าวเดิน ในการดื่ม ในการกิน ในการเหยียด ในการคู้ ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอด”

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ในการก้าวเดินของใจ มันต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดไป สติสัมปชัญญะเตือนตนเตือนใจไว้ให้ใจของเราไม่ออกไปตามอำนาจของมัน อำนาจของเขา ถ้ายิ่งอำนาจของเขายิ่งออกไป ทำไมถึงว่าอำนาจของเขามีมากล่ะ เพราะมีมาก เพราะถ้าเราคิดตามเขาไป มันเหมือนกับสิ่งที่ให้เชื้อ ความคิดสืบต่อ ความคิดเหมือนกับฟืน ฟืนใส่เข้าไปในไฟมันจะลุกโชติช่วงตลอดไป ดับความคิดไม่ได้ ความคิดยิ่งคิดซ้ำๆ ซากๆ เหมือนใส่ฟืนใส่ไฟเข้าไป

ความคิดต่อเนื่องเหมือนกับฟืนท่อนหนึ่งโยนเข้าไปในกองฟืนกองไฟ ความคิด ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันจะเกิดขึ้นในหัวใจมากมายมหาศาลเลย มันจะต้องชักฟืนชักไฟออกเห็นไหม ชักฟืนชักไฟออกก็ต้องพยายามสติสัมปชัญญะเข้ามาควบคุมใจ สิ่งที่ควบคุมใจเพราะเหตุนี้ไง ควบคุมใจให้ใจนี้อยู่โดยอิสรภาพ ถ้าใจนี้เป็นอิสรภาพขึ้นมา นี้เป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิก็ประกอบการงานชอบ สิ่งที่เป็นงานชอบ งานอย่างหยาบเห็นไหม ตั้งตนขึ้นมาได้ งานอย่างละเอียดคือการจับต้องใจ ใจที่มันเป็นเวทนาภายใน สิ่งที่เป็นภายใน แล้ววิปัสสนา

สิ่งที่เป็นวิปัสสนาคือปัญญาในการใคร่ครวญ ถ้าปัญญาใคร่ครวญนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้าไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญนั้นเป็นวงของสมถะ เพราะใจนี้มันพลิกแพลงเพื่อความสงบของมันเท่านั้น มันพลิกแพลงเพื่อความปล่อยวางเข้ามาเห็นไหม สิ่งที่ปล่อยวางเข้ามานี้ ใจนี้เป็นสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานเป็นการยกใจขึ้นมาเพื่อจะยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าจับต้อง.. พยายามค้นหาสติปัฏฐาน ๔ ได้ นั้นเป็นวิปัสสนา ถ้าสิ่งที่เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้นมานี่ แยกแยะ ปัญญาจะก้าวเดินอย่างนี้ ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นเกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วมันจะพลิกแพลงไปตามอำนาจของเขา เป็นการคาดการหมายไม่ได้

เราเคยประพฤติปฏิบัติหนหนึ่ง เวลาเราแยกแยะด้วยปัญญาของเราแล้วมันปล่อยวางได้ เราคิดว่าเราจะใช้ปัญญาอย่างนี้

“เราได้ปัญญาแล้ว ปัญญาเป็นของเราแล้ว เราจะทำซ้ำไปอีก”

สิ่งนั้นไม่เกิดประโยชน์เลย มันเป็นสัญญาเห็นไหม พอมันเป็นสัญญาเข้าไป นี่รู้ก่อนเกิดเพราะความคาดความหมายของใจมันมีอยู่แล้ว ความคาดความหมายของใจคือกิเลสมันอยู่ในใจอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วเราวิปัสสนาจนมันปล่อยวางเข้าไป กิเลสมันพ่ายแพ้เห็นไหม ครั้งต่อไปความรู้นี่รู้ก่อนเกิด มันรู้ด้วยอวิชชา รู้ด้วยกิเลส มันจะพลิกแพลงทันที.. ทำไปเถิด วิปัสสนาซ้ำไปเถิด ด้วยสัญญาอันเก่าเป็นสัญญาทั้งหมดเห็นไหม มันต้องพลิกเป็นอุบายวิธีการใหม่ ถ้าเป็นอุบายวิธีการใคร่ครวญแยกแยะใหม่

สิ่งที่แยกแยะใหม่ ความหลุดออกไป ความขาดออกไปของใจ มันก็เกิดขึ้นใหม่ ปัญญามันจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ด้วยเทคนิคของมัน เทคนิควิธีการที่เราพลิกแพลง ถ้าเราพลิกแพลงขึ้นมา มันจะเกิดหมุนออกไปเป็นกิริยาหนึ่งๆ เป็นความปล่อยวางครั้งหนึ่ง การปล่อยวางแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน จะไม่ซ้ำกัน ถ้าซ้ำกันโดยปัญญาเกิดขึ้นเป็นปัจจุบันธรรมก็ใช้ได้ แต่ถ้ามันซ้ำกันนะ จะว่าไม่ซ้ำกันเลยโดยปัญญาอย่างเดิม มันเป็นที่ว่าซ้ำกันเป็นปัจจุบัน คือกิเลสมันไม่เข้าใจ ความรู้ก่อนเกิดนั้นตามรู้ไม่ทัน มันก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางซ้ำอย่างนี้ ความรู้ของใจมันจะพลิกแพลง มันจะมหัศจรรย์มาก สิ่งที่มหัศจรรย์ของใจ ใจมันจะปล่อยวางได้ ปล่อยวางเพราะอำนาจของปัญญา นี้คือปัญญา

ปัญญาอันนี้คาดหมายไม่ได้ ปัญญาอันนี้.. เราจะเป็นการยืมของใครมา มันเป็นสิ่งที่ยืมมา ต้องให้เป็นปัจจุบัน ถ้าเป็นปัจจุบัน มันถึงไม่ต้องใช้สิ่งใดเป็นการสืบต่อไง เพียงแต่ว่าเป็นการยกขึ้นมาจากการฝึกฝน การฝึกฝนของใจ ใจได้ฝึกฝนขึ้นมา ได้วิปัสสนา ได้แยกแยะบ่อยๆ ครั้งเข้า นั้นเป็นการฝึกฝนของใจ แล้วผลของการที่มันปล่อยวาง สิ่งที่มันปล่อยวางนั้นคือผลที่ว่าปัญญาวงรอบจนเข้าถึงวงรอบ จนมรรครวมตัว จนสมุจเฉทฯ เห็นไหม จนมันสมุจเฉทปหานมันจะปล่อยวางเป็นชั้นๆ เข้ามา จนมันสมุจเฉทปหาน

จะต้องมีการสมุจเฉทปหาน ถ้าไม่สมุจเฉทปหานนั้นมันเป็นการปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางชั่วคราว การปล่อยวางชั่วคราวนั้นต้องซ้ำ ต้องพยายามทำบ่อยครั้งเข้า การทำบ่อยครั้งเพื่อให้ปัญญาแก่กล้า เพื่อให้ปัญญาคมกล้า ถ้าปัญญาคมกล้าขึ้นมา มันจะทำลายกิเลสที่ปกคลุมใจอยู่ สิ่งที่ปกคลุมใจอยู่เห็นไหม สมุจเฉทปหานขาดออกไป สิ่งที่เป็นขันธ์อันกลางขาดออกไป จิตนี้เป็นธาตุรู้ เป็นดวงจิตที่ว่าปล่อยวาง ความสุขมาก จิตนี้จะมีความสุขมาก ความรู้สึกของเราจะมีความสุข สุขของเราไง

สุขของเราเพราะเราปลดเปลื้องกิเลสออกไปจากใจอีกชั้นหนึ่งไง ปลดเปลื้องกิเลสอย่างกลางออกไปจากใจเห็นไหม มีความสุข มีอิสรภาพ มันจะมีความเวิ้งว้าง มีความสุขมหาศาลเลย สุขมหาศาลนะ มหาศาลมาก มหาศาลจนสามารถทำให้คนติดได้ ทำให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติติดในความสุขอันนั้น เข้าใจว่าความสุขอันนั้นเป็นผลเห็นไหม ยังไม่ถึงผลของมันเพราะอะไร เพราะมันมีความรู้สึกว่าเป็นสุขอยู่ ในเมื่อจิตมันมีความสุขนั้นคือตัวธาตุรู้อยู่ ขันอันละเอียดยังรับรู้อยู่ในหัวใจนั้น สิ่งที่เป็นอันละเอียดอยู่ในหัวใจนั้นเห็นไหม

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นความสุข แล้วความสุขนี้เป็นสิ่งที่สมความปรารถนา สิ่งที่ปรารถนาเป็นความสุขเหมือนกัน แต่ความสุขต้องเป็นความสุขถึงที่สุดในการที่ว่าไม่มีสิ่งใดใดรับรู้ ถ้ายังมีสิ่งใดรับรู้อยู่นั้นคือตัวธาตุรู้ สิ่งที่เป็นธาตุรู้เห็นไหม ปล่อยวางขันธ์แล้วต้องมีตัวธาตุรู้ ธาตุรู้ปล่อยวางเห็นไหม จิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ มันจะปล่อยวางออกจากกัน มันก็สักแต่ว่าของมันเห็นไหม ถ้าพิจารณากายมันก็ปล่อยกายออกมา

นี่เรามีความสุขแล้วมันก็เสวยสุขอยู่ สุขนี้แล้วมันก็ต้องแปรสภาพไป สิ่งที่แปรสภาพไป เพราะกิเลสอันเหนือกว่า ความสุขอันที่ว่าเราสมุจเฉทปหานแล้วมันจะไม่แปรสภาพอีก มันจะคงที่ตลอดไป สิ่งที่คงที่นั้นเป็นงานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นการคงที่เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เป็นชั้นเป็นตอน

การเกิดและการตายในวัฏวนนี้ถึงว่า ๗ ชาติ ๓ ชาติ แล้วแต่จิตนี้จะเกิดประพฤติปฏิบัติได้มากน้อยขนาดไหน เกิดจริงๆ เกิดตามสภาวะ แล้วยิ่งภาวนาขึ้นมาที่ว่าเห็นตามความเป็นจริงนี้ จะเข้าใจเรื่องอย่างนี้โดยใจดวงนั้นเข้าใจเอง ไม่ต้องมีใครสอนนะ จิตนี้จะสอนตัวเอง จิตนี้จะสอนด้วยการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี้จะสอนดวงใจนี้ให้ฉลาดแหลมคมขึ้นมา ถ้าไม่ฉลาดแหลมขึ้นมาจะปลดเปลื้องกิเลสออกจากใจได้อย่างไร จะต้องฉลาดมากจนสามารถปลดเปลื้องกับความเห็นผิดของตัวเองได้ ปลดเปลื้องความเห็นผิดของเราเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

แล้วยกขึ้นมา ทำความสงบเข้าไป มันต้องเอะใจ ความเอะใจว่า สิ่งที่ว่าเป็นความรู้สึกนี้คืออะไร ความสุขอันนี้คืออะไร ถ้าความสุขอันนี้ พอจับต้องความสุขได้ มันจะแสดงตนอย่างมหาศาล ถ้าจับต้องตัวความสุขไม่ได้ มันยังไม่แสดงตน มันจะเป็นความสุขอยู่อย่างนั้น จนออกมารับรู้สิ่งนี้ จับต้องได้นั้นคือกามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะนี้รุนแรงมาก สิ่งที่รุนแรงมาก แต่เวลามันปกปิดตัวมันเองเพื่อจะให้เราหลง มันจะไม่แสดงตัวมันเลย

สิ่งที่เป็นอำนาจของสมาธิ อำนาจของกำลังของสมาธิกดไว้ จนเหมือนกับว่าสิ้นทุกข์ได้ ไม่มีสิ่งนี้ในหัวใจเลย ไม่มีกามในหัวใจเห็นไหม เพราะอำนาจของสมาธิ อำนาจของความว่าง อำนาจของธรรมที่มันกดใจไว้ กิเลสมันก็หลบตัวอยู่อย่างนั้นเพื่อมันจะเป็นกลอุบายวิธีการอันหนึ่ง ที่เขาจะสงวนชีวิตของเขา เขาจะสงวนที่อยู่ของเขาในหัวใจ เขาจะหลบตัวเพื่อจะให้เราวนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นตัวเขาไง

มันเป็นนามธรรม ใจนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมแล้วเราค้นคว้า มันถึงจับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย พอจับต้องสิ่งใดไม่ได้ก็จะว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นปลดเปลื้องหมดแล้ว มันเป็นความหลงเห็นไหม สิ่งที่เป็นหลง สิ่งที่ไม่มี สิ่งที่ว่าความปลดเปลื้องพ้นออกไปแล้ว สิ่งที่พูดอยู่ สิ่งที่เข้าใจอยู่ ตัวนั้นคือตัวจิต ตัวนั้นคือตัวขันธ์อันละเอียด สิ่งที่เป็นขันธ์อันละเอียดอยู่ในหัวใจนั้นจับต้องสิ่งนี้ได้ มันหมุนเวียนได้ มันมีความรู้สึกได้ แล้วทำไมมันไม่มีล่ะ

นี่ความเข้าข้างกิเลสมันเข้าข้างตัวเอง แล้วมันหลบอยู่ในหัวใจเห็นไหม จะไม่เข้าใจเลยว่าจะมีสิ่งนี้เป็นเรา เพียงแต่ว่าเราส่งออก ความรู้มันส่งออก ส่งออกไปว่าไม่มีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใด ถ้าไม่มีสิ่งใดสิ่งนั้นต้องพูดไม่ได้ สิ่งนั้นต้องให้ค่าอะไรไม่ได้เลย นี้มันให้ค่าในหัวใจเป็นความสุข ในเมื่อให้ค่าในหัวใจเป็นความสุข แล้วทำไมสิ่งนี้มันไม่มีในหัวใจเห็นไหม จิตถ้ามันปล่อยขันธ์เข้ามาแล้ว มันจะมีตัวธาตุรู้โดยปกคลุมด้วยอวิชชา ปกคลุมด้วยกิเลสอย่างละเอียด นี่จับต้องอย่างละเอียด

พยามยามค้นคว้า พยายามยกขึ้นวิปัสสนาให้ได้ ถ้าจับต้องไม่ได้เห็นไหม มันจะทำให้เราเข้าใจว่าอย่างนั้น นั่นน่ะ รู้ก่อนเกิดตลอดเลย ถ้ารู้ก่อนเกิดนี้รู้โดยอวิชชา รู้โดยกิเลสพารู้ยังไม่ปลอดภัย ถ้ายังไม่ปลอดภัย แล้วเรามีชีวิตอยู่เห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อพ้นออกไป เพื่อให้ชีวิตนี้ปลอดภัย

ชีวิตนี้จะพ้นออกไปจากภัยของเรา จากภัยคือเชื้อของกิเลส เชื้อกิเลสในหัวใจนี้มันเป็นเชื้อ มันทำให้ใจนี้เกิดนี้ตายแล้วมันไม่ปลอดภัย ไม่ปลอดภัยเพราะสิ่งนี้ไง ในเมื่อตัวของเราเป็นเรา ทำไมเราอยู่กับเรามันจะไม่ปลอดภัย...ไม่ปลอดภัยหรอก! กิเลสพาเกิดพาตาย แล้วยังต้องเกิดต้องตายอยู่ มันจะปลอดภัยไปได้อย่างไร ถ้าจะให้มันปลอดภัย มันต้องพยายามซ้อนร่อนเข้ามา จับจิตนี้พลิกแพลงจนกว่าจะไม่มีสิ่งใดเจือปนในตัวจิตนั้น ให้จิตนั้นใสสว่าง จนจิตนั้นพ้นเป็นอิสระ เป็นความว่างของใจโดยธรรมชาติของมัน ถึงต้องพยายามทำความสงบของใจแล้วออกแสวงหา

ถ้าใจเข้าใจสิ่งนี้ว่ามันไม่ปลอดภัย มันจะเริ่มออกหาไง ถ้าใจเริ่มออกหา เริ่มออกหาคือเริ่มขุดคุ้ย ถ้าเริ่มขุดคุ้ย มันก็จะพยายามส่องกล้องส่องอำนาจของใจ นี่ปัญญาญาณมันจะเกิด แล้วพยายามจับต้องสิ่งนี้ให้ได้ ถ้าปัญญาเกิดอย่างนี้นี่มหาสติ-มหาปัญญา จับต้องกามราคะ พิจารณากายเป็นอสุภะ พิจารณาจิตเป็นกามราคะ พิจารณาเวทนาก็เป็นกามราคะ พอใจในความพอใจของใจนั้น ใจนั้นพอใจตัวมันเองก่อน สิ่งที่มันพอใจตัวมันเองแล้วมันถึงสืบต่อออกข้างนอกแล้วกระทบสิ่งที่ข้างนอก ถ้ามันไม่พอใจในตัวมันเอง มันจะไปพอใจสิ่งใด มันพอใจในตัวมันเอง

กามฉันทะสิ่งที่เป็นละเอียด ถ้ามันพิจารณาอสุภะ มันก็เป็นสิ่งที่ว่าพิจารณากายมันเป็นสิ่งที่หยาบ พิจารณากายหยาบกว่าพิจารณาจิต พิจารณาจิตมันละเอียดกว่า.. จิตคืออาการของใจ มันเกิดขึ้นมาจากใจ มันเป็นความเห็นของใจนั้น นั่นน่ะ ขันธ์อันละเอียดไง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก มันถึงต้องเป็นมหาสติ-มหาปัญญา จิตนี้เป็นมหาสติ-มหาปัญญาระหว่างการก้าวเดินนั้น ก้าวเดินด้วยความพลิกแพลงของใจ ใจพยายามจะพลิกแพลงต่อสู้กับสิ่งนี้ให้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้แล้วต่อสู้สิ่งนี้ได้เห็นไหม เป็นงานอันประเสริฐที่สุดเพราะมันจะดับการเกิดในกามภพ

ถ้ากามราคะอยู่ในหัวใจ กามภพตั้งแต่เทวดาลงมา มันยังเกิดตายอยู่ มันยังมีสิทธิเกิดอยู่เพราะ! เพราะมันมีภาวะ มันมีภพ มันมีสถานที่ มันมีสิ่งที่สืบต่อ เราจะทำลายสิ่งนี้ ทำลายสิ่งที่สืบต่อ สิ่งที่สืบต่อคือความสมานของใจกับขันธ์อันละเอียดนี้อยู่ด้วยกัน สิ่งที่สืบต่อคือตัวสังโยชน์ คือตัวกิเลสที่มันผูกมัดสิ่งนี้ ผูกพันกัน นี่เราวิปัสสนาเพื่อแยกแยะสิ่งนี้ แยกแยะเข้าไป.. แยกแยะเข้าไป.. เพื่อความใคร่ครวญของมัน

อำนาจการต่อรอง อำนาจของการพลิกแพลงในหัวใจ จะร้อยเหลี่ยมพันคม จะยอดเยี่ยมมาก กิเลสนี้ถึงจะเห็นโทษของกิเลสในการต่อสู้ ในการต่อสู้เข้ามาตั้งแต่เริ่มต้นเข้ามา เราทุ่มทั้งชีวิตนะ แล้วปัญญาใคร่ครวญมานี่จะเห็นความพลิกแพลงของใจ จะเห็นการที่ใจปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันจะลึกลับซับซ้อนขนาดไหน เราก็ผ่านเข้ามานะ เราว่าอันนั้นเป็นงานอันทุกข์ยาก งานอันมหาศาล งานอันประเสริฐ มาเจอกามราคะนี้งานอย่างนั้นเป็นงานเด็กๆ เลย เป็นงานเริ่มต้นของการประพฤติปฏิบัติเข้ามา แต่มันแสนทุกข์แสนยาก เพราะในการประพฤติปฏิบัติใหม่

ประพฤติปฏิบัติใหม่มันไม่รู้วิธีการ สิ่งนั้นมันเป็นเด็กๆ ก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นการสะสมประสบการณ์ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ขึ้นมา เพราะความประสบการณ์อันนั้น มันถึงใคร่ครวญสิ่งที่เหนือกว่าขึ้นมาได้เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วว่าสิ่งที่พิจารณาในกามราคะนี้มันจะพยายามพลิกแพลงยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เป็นการพลิกแพลงยิ่งกว่านั้นแล้ว ใจมันจะโดนหลอกลวงขนาดไหน ความเป็นใจเห็นไหม ใจจะหลงกลของมายาของกิเลสขนาดไหน นี่ความหลงกลของมัน

“ความรู้การคาดหมาย.. รู้ก่อนเกิด เพราะมันไม่เกิดตามความเป็นจริง”

ถ้ามันเกิดตามความเป็นจริงนั้นคือปัญญา ปัญญาเกิดตามความเป็นจริงไม่ใช่รู้ก่อนเกิด รู้ในปัจจัตตัง รู้ในปัจจุบันธรรม สิ่งที่รู้ในปัจจุบันธรรมคือการพลิกแพลงของเรา การพลิกแพลงของใจ ใจต้องพลิกแพลง ต้องพยายามก้าวเดิน ถ้าก้าวเดินไปเป็นงาน งานนี้จะดูด ดูดให้เราติดกับงานตลอดไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ใกล้กับใจมากขึ้นมาแล้ว มันเป็นงานการต่อสู้ ถ้าต่อสู้ขึ้นไปแล้วจนเราฟั่นเฟือน จนฟันไม่ได้ จนจิตนี้ต่อสู้ไม่ได้ ต้องกลับมาทำความสงบของใจ

ช่วงที่พยายามจะดึงใจให้พักได้ ตรงนี้สำคัญมาก สำคัญตรงใจมันพุ่งออกไปแล้วมันจะไปตามประสางาน ตามประสางานมากแล้วมันจะไม่หยุดพักเห็นไหม แล้วหยุดพักก็โดนกิเลสลากไป มันพักไม่ได้ เพราะมันหมุนโดยธรรมชาติของมัน มันหมุนโดยมหาสติ-มหาปัญญา มันจะหมุนไปอย่างนั้น มันเหมือนกับน้ำป่าที่มันไหลแรงมา แล้วเรายืนต้านทานอยู่ มันจะพัดให้เรากระเด็นไปเลย

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาความคิด เราคิดว่าเราจะหยุด แต่หยุดไม่ไหว หยุดไม่ไหว.. จนจะต้องพยายามทำสัมมาสมาธิไง เราต้องเกาะกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อจะดึงตัวเราไว้ ยึดตัวเราไว้เพื่อให้เราไม่โดนน้ำกิเลสนั้นพัดพาเราไป เห็นไหม ถึงต้องใช้คำบริกรรม ถึงต้องใช้พยายามทำความสงบของใจ ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมาได้ เหมือนกับเราเกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วยึดตัวเราเองไว้ได้ ไม่โดนกระแสของกิเลสพัดไปเห็นไหม แล้วเราสร้างกำลังของเราขึ้นมา สร้างกำลังของเราคือสร้างสัมมาสมาธิขึ้นมา สร้างสัมมาสมาธิขึ้นมาแล้วต่อสู้ขึ้นไปใหม่เห็นไหม พลิกแพลงต่อสู้ไปกับความเห็นผิดของใจนั้น ให้มันเป็นปัจจุบันธรรม

ถ้าเป็นปัจจุบันธรรม ความรู้แจ้งเกิดขึ้น มันไม่เป็นความรู้ก่อนเกิด ความรู้ก่อนเกิดเป็นความรู้ของกิเลสพาใช้ เป็นความรู้เหมือนกันแต่รู้คาดหมายกับรู้ปัจจุบัน รู้ปัจจุบันเป็นการพิจารณาของเรา ถ้าเราพิจารณาแยกแยะเข้าไป แยกแยะสิ่งนี้มันเป็นนามธรรมลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งในหัวใจ งานที่ว่างานการต่อสู้ขึ้นมา งานตรงนี้สำคัญมาก ถ้าทำตรงนี้สำเร็จขึ้นไป สมุจเฉทปหานขาดออกไปจากใจ พอขาดออกไปจากใจนะ จะเวิ้งว้างมาก จะมีธาตุรู้เห็นไหม ธาตุรู้จะมีเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ธาตุรู้ปล่อยขันธ์มา เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จะมีธาตุรู้ตัวนี้มาตลอด ธาตุรู้คือตัวตนของเรา ตัวตนอย่างใหญ่

ตัวตนอย่างหยาบๆ เห็นไหม เป็นตัวตนขึ้นมาเป็นตัวตนของเรา แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวตนของเรา แล้วเราปลดเปลื้องตัวตนของเรา ปลดเปลื้องตัวตนแล้วเข้าใจว่าการปลดเปลื้องตัวตนนั้นเป็นการสิ้นสุดในการประพฤติปฏิบัติ...มันไม่ใช่อย่างนั้น! การปลดเปลื้องความเป็นอย่างหยาบ มันก็จะเป็นอย่างละเอียดเข้าไป ปลดเปลื้องอย่างละเอียดเข้าไปมันก็ยิ่งละเอียดเข้าไป จนถึงละเอียดสุดมันเป็นสิ่งที่ว่าสว่างไสว เป็นสิ่งที่ผ่องใสในหัวใจ มันเป็นสิ่งที่ว่าเหมือนเป็นนามธรรมสุดๆ

สิ่งที่ว่าเป็นนามธรรม แต่เดิมมันกระทบกับขันธ์ ขันธ์นี้ก็เป็นนามธรรมแต่มันมีอาการ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕.. ธาตุ ๔ มันจับต้องได้ มันวิปัสสนาได้ แต่สิ่งนี้มันเป็นธาตุรู้เฉยๆ เห็นไหม ปล่อยขันธ์อันละเอียดแล้วมันก็เป็นจิตล้วนๆ พอเป็นจิตตัวล้วนๆ ขึ้นมา นั้นน่ะคือตัวรู้ก่อนเกิด สิ่งที่เป็นรู้ ต้องรู้ในปัจจุบันเดี๋ยวนั้น การสืบต่อ การเข้าไปจับรู้สิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นจิตปฏิสนธิเห็นไหม ถ้าดับเดี๋ยวนั้นก็ไปเกิดบนพรหม มันยังต้องเกิดอีก มันเป็นไปเพราะมันสืบต่อได้ มันเป็นภพที่ละเอียดมาก

สิ่งที่เป็นภพที่ละเอียด ปล่อยวางเขามาทั้งหมด ปล่อยวางขันธ์อย่างหยาบเข้ามา อย่างกลางเข้ามา อย่างละเอียดเข้ามา แล้วก็มาเป็นตัวของตัวเองเห็นไหม สิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง ธรรมชาติอย่างนั้น ธรรมชาติที่ว่ารู้ตัวเองสิ่งใด.. เหมือนไฟฉาย ไฟฉายนี้ออกไปจากลำกล้องของไฟฉายแล้วเป็นลำแสงออกไป จะไม่มีไฟฉายอันไหนย้อนกลับเข้ามาตัวของไฟฉายได้ พลังงานย้อนกลับจะไม่มี แต่สิ่งนี้มันก็เป็นพลังงานส่งออกตลอดเวลา

แต่ด้วยปัญญาญาณ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความละเอียดอ่อนของปัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้นจะลามเข้าไปถึงตรงนี้ได้ ถ้าลามเข้าไปถึงตรงนี้ได้ จับต้องตัวตนของใจได้ จับต้องสิ่งที่ผ่องใส จิตนี้ผ่องใส จิตนี้สว่างไสว สิ่งที่ผ่องใสหมองด้วยอวิชชา อวิชชาคลุมตัวอยู่ตลอด แต่ปัญญาอย่างหยาบๆ ที่เราใช้กันอยู่นี้ วิปัสสนามาอยู่นี้ นั้นเป็นปัญญาของขันธ์ ขันธ์กับขันธ์ต่อสู้กันนี้เป็นปัญญาต่อสู้กันขึ้นมาจนเป็นมหาสติ-มหาปัญญาขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่พอยกขึ้นถึงที่สุดแล้ว มันเป็นปัญญาญาณ มันเป็นญาณหยั่งรู้ มันเป็นญาณอย่างเดียว มันต้องเผาไหม้กันโดยตบะธรรมอันนั้น

จะใช้ปัญญาอย่างหยาบเข้าไปวิปัสสนา มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันหยาบเกินไป สิ่งที่มันหยาบเกินไปเห็นไหม เหมือนกับช่องแคบ เราจะเอาวัตถุสิ่งที่ใหญ่กว่าเข้าไปช่องแคบนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะช่องนั้นแคบต้องเอาวัตถุที่เล็กว่า นี้ก็เหมือนกัน มันละเอียดอ่อนจนขนาดนั้นแล้ว มันเข้าไปวิปัสสนาอย่างไรก็แล้วแต่ มันต้องใช้ปัญญาอย่างละเอียดลึกซึ้งมากถึงจะจับต้องสิ่งนี้ได้

สิ่งนี้เป็นจุดที่หลงใหลกันหมด สิ่งนี้ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์จะเข้าหาได้ยาก ถ้ามีครูบาอาจารย์.. เราพยายามฝึกฝนตน พยายามดูใจเข้ามาตลอด พยายามให้วงเข้ามาภายใน สิ่งที่เป็นภายในนั้นคือตัวใจ ย้อนกลับมาตัวใจได้ จับตรงนี้ได้แล้วใช้ปัญญาญาณพลิกออกไป สิ่งที่พลิกออกไป จบสิ้นของการประพฤติปฏิบัติ

“ความรู้ที่เป็นจิตปฏิสนธิ” กับ “ความรู้ที่เป็นวิญญาณขันธ์ ๕” ต่างกันมาก

แล้วพอจิตปฏิสนธินี้โดนทำลายเห็นไหม จิตนี้ก็ไม่มี แต่เดิมเราพิจารณาเข้ามา เราจะปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จะมีธาตุรู้ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนเราทำลายตัวธาตุรู้ ตัวธาตุรู้คือตัวตอของจิตนี้โดนปัญญาญาณทำลายออกไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดๆ เลย จะว่ามีอะไรก็ไม่ได้ จะพูดถึงสิ่งใดๆ ไม่ได้ นั่นเป็นผลในการประพฤติปฏิบัติในศาสนา

ในศาสนาเรานี้สอนถึงการประพฤติปฏิบัติ จนถึงที่สุด นั้นเป็นจิตที่ปลอดภัย จิตที่ปลอดภัยคือมันไม่มีตัวมัน มันไม่มีเป้าหมาย ใครจะขีด ใครจะพยายามใส่เชื้อโรค พยายามจะหาสิ่งที่เป็นอาวุธทำลายตรงนั้น หรือจะให้ติดสินบน ค่าสินบนสิ่งใด จะไม่มีผู้รับ จะไม่มีผู้ใดจะรับสิ่งนี้ได้เลย แต่เดิมเราปล่อยวางเข้ามา จะมีผู้รับรู้เห็นไหม ธาตุรู้จะรู้ว่าว่าง รู้ว่าจะปล่อยวาง จะมีความรู้สึกตลอดเวลา แต่ถึงตรงนั้นจะไม่มีสิ่งใดๆ รับรู้ ปล่อยวางว่างไปหมด พ้นออกไปจากภวาสวะ พ้นไปจากอวิชชา พ้นออกไปหมดสิ้นจากกระบวนการ แล้วจะเป็นสิ่งที่ว่าออกมาข้างนอกไม่ได้เลย เพียงแต่เป็นสมมุติสื่อความหมาย

ถ้าจะสื่อความหมายก็สื่อความหมายว่า สิ่งนั้นเป็นสิ้นสุดของการประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันจะออกมานี้ ออกมาด้วยสมมุติเท่านั้น สิ่งที่จะออกมาจากสมมุติเพื่อสื่อความหมายในสมมุติกัน ในสังคมโลก สังคมโลกเป็นอย่างไร แล้วอัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ตนเข้าใจหลักความจริงหลักการประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงที่สุดของกระบวนการการประพฤติปฏิบัติ แล้วทำไมจะไม่เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้เห็นไหม จะเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้ ถ้าสัตว์โลกนั้นสนใจ

แต่ถ้าสัตว์โลกนั้นไม่สนใจ ก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

มนุษย์ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน คือเศษส่วนของร่างกายกับธาตุขันธ์ก็ยังเป็นเศษส่วนเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แล้วมนุษย์ที่มีกิเลส มนุษย์ที่หนาไปด้วยกิเลสมารก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง การแสดงกิริยาท่าทางเหมือนกันทั้งหมด แต่ต่างกันด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน จะสิ้นชีวิตไปเท่านั้น

พอสิ้นชีวิตไป นี่ต่างกับมนุษย์ปุถุชนมหาศาล คนตายเหมือนกัน คนตายตายแล้วต้องไปเกิดอีก ตายแล้วขันธ์ในจิตนั้นมันจะผูกพันกันไป มันจะทุกข์ยากไปตามประสาอำนาจของกรรม อำนาจของอกุศล เกิดในบาปอกุศล เกิดในทุกข์ในยาก

แต่ดับของผู้ประพฤติปฏิบัติพ้นออกไปจากกิเลสแล้ว ดับแล้วคงที่ ดับแล้วไปอยู่ของเขาตามสภาวะที่จิตนั้นพ้นออกไป จะไม่ต้องมาเกิดมาตายอีก จะไม่เวียนไปในวัฏฏะเห็นไหม งานที่เสร็จสิ้นกระบวนการ งานที่สมบูรณ์แล้วเป็นงานอย่างนี้ งานในหลักของศาสนา มันถึงว่าเป็นงานของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อพ้นจากกิเลส พ้นออกไปจากกิเลส ต้องเดินตามมัชฌิมาปฏิปทาของครูบาอาจารย์ มัชฌิมาปฏิปทาของธรรมวินัยนะ

มัชฌิมาฯ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้วางไว้ นี้คือมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทาของเรา ถ้าไม่มัชฌิมาปฏิปทาของเรา เราจะต้องโดนกิเลส จะเป็นความรู้ก่อนเกิด หลอกเราไปตลอดเลย เป็นความรู้คาดหมายของกิเลส มันจะรู้ไปอย่างนั้น มันไม่เป็นรู้โดยปัจจุบัน รู้โดยปัญญา รู้โดยมรรครวมตัว

เป็นมรรคะ เป็นภาวนามยปัญญา มรรครวมตัว สมุจเฉทปหาน ชำระกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอน เกิดขึ้นจากการก้าวเดินของใจ จากใจก้าวเดินจากหนึ่ง ก้าวเดินจากปุถุชน ก้าวเดินจากความศรัทธาความเพียรของเรา เกิดมานี้ปุถุชนเป็นคนหนาด้วยกิเลสทุกๆ คน แล้วมีความใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัติออกก้าวเดินจากตรงนี้ ถ้าไม่ก้าวเดินจากตรงนี้ จะไปก้าวเดินจากตรงไหน ก้าวเดินจากเราไง

ถ้าเรามีความพอใจ เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะก้าวเดินของเราไปได้ ถ้าเราไม่มีความพอใจเห็นไหม นี่ศรัทธาความเชื่อ ถ้าเป็นปุถุชนสมบัติอันมหาศาล สมบัติที่มีประโยชน์คือศรัทธา ถ้ามีความเชื่อขึ้นมา สิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นจากความเชื่อนี้ เกิดขึ้นจากศรัทธานี้ ศรัทธาจะทำตั้งแต่ทำทาน ทำศีล ทำภาวนา จะประพฤติปฏิบัติขนาดไหน ความเชื่อของเรามีแล้ว มันจะเป็นศรัทธาดึงไป ถ้าความเชื่อของเราไม่มีเห็นไหม ศรัทธาของเราไม่มี เราจะปิดกั้นสิ่งนั้น แล้วเราจะไม่เชื่อสิ่งนั้นเลย

นี้ถึงจะเป็นประโยชน์ในสังคมโลกเห็นไหม แต่ในความเชื่อของเรานี้เป็นศรัทธา ศรัทธาแล้วยังต้องมีปัญญา ปัญญาใคร่ครวญของเราขึ้นไปจนประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้ว นี้ปัญญาจะสำคัญมาก แต่สำคัญขนาดไหนมันก็ต้องมีความเชื่อในการทำสมาธิ ศรัทธาในการทำสมาธิ นี่สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน ถึงก้าวเดินไปพร้อมกันจนถึงที่สุดในการงานนั้น

แล้วสิ่งนี้จะหมดไป ที่ว่าตอหมดไปเห็นไหม ธาตุหมดไป สิ่งต่างๆ หมดไป สิ่งนี้จะหมดไปโดยธรรมชาติ งานสิ้นสุดกระบวนการแล้วทุกอย่างเครื่องมือก็ต้องสิ้นกันไปโดยธรรมชาติของการประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง